ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดีที่สุด 2026? เปรียบเทียบ 5 รุ่นฟิลเลอร์นิยม ข้อดีข้อเสีย และวิธีเลือกที่ปลอดภัย

ฟิลเลอร์ใต้ตา
Table of contents

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เราเข้าใจดีว่าปัญหาใต้ตาคล้ำ ตาลึก หรือถุงใต้ตาหย่อนคล้อยนั้นสร้างความกังวลใจและทำให้ใบหน้าดูโทรมได้มากแค่ไหน การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงกลายเป็นทางออกยอดนิยมที่ช่วยคืนความสดใสให้ใบหน้าได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติ แต่คำถามที่ตามมาและเป็นคำถามสุดฮิตประจำคลินิกก็คือ ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี ที่สุดในปี 2026 นี้?

การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ดีที่สุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาหรือชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติของเนื้อฟิลเลอร์ ความเหมาะสมกับปัญหาใต้ตาของแต่ละบุคคล และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัย บทความนี้ทางทีมแพทย์ OHM Clinic ได้เปรียบเทียบ 5 รุ่นฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ได้รับความนิยมสูงสุด พร้อมแนะนำวิธีเลือกที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่สวยงามที่สุดสำหรับคุณ

 

ทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกว่า ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานของการรักษาใต้ตาด้วยฟิลเลอร์กันก่อนดีกว่า เพื่อให้การตัดสินใจของคุณอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจที่ถูกต้องและแม่นยำ

ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร?

ฟิลเลอร์ (Filler) ที่ใช้ในการฉีดใต้ตาคือสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่พบตามธรรมชาติในร่างกายของเรา ทำหน้าที่คล้ายเจลในการเพิ่มปริมาตร เติมเต็มร่องลึก หรือปรับโครงสร้างผิวบริเวณที่ต้องการ เมื่อฉีดเข้าไปยังบริเวณใต้ตา สาร HA จะช่วยเติมเต็มความลึกของร่องน้ำตา หรือส่วนที่ดูเป็นเงาคล้ำ ทำให้ผิวบริเวณนั้นเรียบเนียนขึ้น ดูอิ่มฟู และลดความหมองคล้ำได้อย่างชัดเจน

ฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นคำตอบสำหรับปัญหาใต้ตาที่หลากหลายมาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าหรือมีอายุเกินจริง โดยปัญหาที่ฟิลเลอร์สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

  • ร่องน้ำตา (Tear Trough Deformity): เติมเต็มร่องลึกบริเวณหัวตาที่ทอดลงมา ทำให้ผิวดูเรียบเสมอกัน
  • ตาคล้ำ (Dark Circles): ในกรณีที่ความคล้ำเกิดจากเงาของร่องลึก ฟิลเลอร์จะช่วยยกผิวขึ้น ทำให้เงาลดลง ความคล้ำจึงดูจางลงตามไปด้วย
  • ถุงใต้ตา (Eye Bags): ในบางกรณีที่ถุงใต้ตาไม่ใหญ่มาก การเติมฟิลเลอร์รอบๆ สามารถช่วยพรางตาให้ถุงใต้ตาดูเด่นน้อยลง
  • ตาลึก/เบ้าตาลึก: เพิ่มปริมาตรในชั้นผิวลึกเพื่อยกโครงสร้างให้ใบหน้าดูสดใสและอิ่มเอิบขึ้น

หากคุณกังวลว่า ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม บอกได้เลยว่าภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการใช้ฟิลเลอร์แท้ที่มีคุณภาพ การรักษานี้มีความปลอดภัยสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลง

 

ฟิลเลอร์ใต้ตา

 

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร?

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาบริเวณใต้ตาที่กล่าวมาข้างต้น คือ ปัญหาร่องน้ำตา, ตาคล้ำ, ถุงใต้ตา และตาลึก และผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีการอักเสบติดเชื้อบริเวณที่ฉีด หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเสมอ

ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดีที่สุด? เปรียบเทียบ 5 รุ่นยอดนิยม

การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ดีที่สุดจะต้องพิจารณาจาก ‘เนื้อเจล’ ที่มีความยืดหยุ่นสูง มีความอ่อนนุ่ม และสามารถกลืนไปกับผิวบริเวณใต้ตาที่บางมากๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยนี่คือการเปรียบเทียบฟิลเลอร์ใต้ตา 5 รุ่นที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมสูงสุดในปัจจุบัน

 

ยี่ห้อฟิลเลอร์ คุณสมบัติเด่น เหมาะสำหรับ ข้อดี ข้อเสีย
1. Juvederm Volbella เนื้อละเอียด นุ่มมาก มีความยืดหยุ่นสูง ร่องใต้ตาตื้นๆ, เติมความชุ่มชื้น เข้ากับผิวได้ดีมาก ดูเป็นธรรมชาติ ราคาสูงกว่าบางยี่ห้อ
2. Restylane Vital Light เนื้อละเอียด มีอนุภาคขนาดเล็ก ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น ผิวใต้ตาที่บางมาก, แก้ความคล้ำจากผิวแห้ง ให้ความชุ่มชื้นดีมาก, ลดความคล้ำได้ดี อาจต้องเติมบ่อยกว่ารุ่นอื่น
3. Belotero Balance เนื้อละเอียด กลืนไปกับผิวได้ดี (Cohesive Polydensified Matrix – CPM) ร่องน้ำตาไม่ลึกมาก, ลดความเสี่ยงเป็นก้อน โอกาสเป็นก้อนต่ำมากหากฉีดถูกชั้น ความคงทนอาจน้อยกว่ารุ่นเนื้อแข็ง
4. Teosyal RHA เนื้อยืดหยุ่นสูง ปรับตามการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ บริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อย เช่น หางตา, ร่องน้ำตา ดูเป็นธรรมชาติแม้เวลายิ้มหรือขยับ หาคลินิกที่มีรุ่นนี้ในไทยได้ยากกว่ายี่ห้ออื่น
5. Princess Filler เนื้อนุ่มปานกลาง ราคาเข้าถึงง่าย ผู้ที่เริ่มต้นฉีด, ร่องน้ำตาไม่ลึกมาก ราคาคุ้มค่า, เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับงบจำกัด อาจอยู่ไม่นานเท่าฟิลเลอร์พรีเมียมตัวอื่น

 

1. Juvederm Volbella

เป็นฟิลเลอร์พรีเมียมในกลุ่ม Vycross Technology ที่ถูกพัฒนามาให้มีความละเอียดและอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ

  • คุณสมบัติเด่น: เนื้อละเอียด นุ่มมาก มีความยืดหยุ่นสูง เข้ากับผิวได้ดี
  • เหมาะสำหรับ: ร่องใต้ตาตื้นๆ, การเติมเต็มเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น, ผิวที่บางต้องการความเป็นธรรมชาติสูง
  • ข้อดี: โอกาสเป็นก้อนต่ำมาก ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด และอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์เนื้อนุ่มทั่วไป
  • ข้อเสีย: มีราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่นในตลาด
  • ราคาเฉลี่ยต่อ 1 CC: ประมาณ 15,000 – 20,000 บาท

2. Restylane Vital Light

เป็นฟิลเลอร์ในกลุ่ม Skinbooster ที่มีอนุภาคขนาดเล็กและเน้นเรื่องการเติมน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

  • คุณสมบัติเด่น: เนื้อละเอียด มีอนุภาคขนาดเล็กมาก มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น (Hydration)
  • เหมาะสำหรับ: ผิวใต้ตาที่บางมาก, แก้ไขความคล้ำที่เกิดจากผิวแห้งหรือการสูญเสียน้ำ, การปรับปรุงคุณภาพผิว
  • ข้อดี: ให้ความชุ่มชื้นผิวดีมาก ช่วยลดความคล้ำจากปัญหาผิวแห้งได้
  • ข้อเสีย: ความคงทนสั้นกว่าฟิลเลอร์รุ่นที่ใช้เติมเต็มร่องลึกโดยตรง อาจต้องมีการเติมซ้ำเร็วกว่า
  • ราคาเฉลี่ยต่อ 1 CC: ประมาณ 10,000 – 14,000 บาท

3. Belotero Balance

ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์ที่มีเทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ทำให้เนื้อเจลมีความกลืนเข้ากับผิวได้ดีเยี่ยม ไม่เกิดขอบ

  • คุณสมบัติเด่น: เนื้อละเอียด มีความกลมกลืนกับผิวสูงที่สุด (Seamless Integration)
  • เหมาะสำหรับ: ร่องน้ำตาที่ไม่ลึกมาก, ผู้ที่กังวลเรื่องการเป็นก้อนหรือเห็นรอยนูนใต้ผิว
  • ข้อดี: โอกาสเกิดก้อนและ Tyndall Effect (เห็นเป็นสีฟ้า) ต่ำมาก หากฉีดในชั้นที่ถูกต้อง
  • ข้อเสีย: ความคงทนอาจน้อยกว่าฟิลเลอร์เนื้อแข็ง และไม่เหมาะกับการเติมในชั้นกระดูกลึกๆ
  • ราคาเฉลี่ยต่อ 1 CC: ประมาณ 12,000 – 17,000 บาท

4. Teosyal RHA

ฟิลเลอร์รุ่นนี้มีจุดเด่นที่สามารถคงสภาพเดิมได้ดีแม้มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าบ่อย ๆ

  • คุณสมบัติเด่น: เนื้อมีความยืดหยุ่นและคืนตัวสูง ปรับตามการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า
  • เหมาะสำหรับ: บริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อย เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ร่องน้ำตา ที่มีการขยับเวลาแสดงสีหน้า
  • ข้อดี: ดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งแม้เวลายิ้มหรือขยับใบหน้า ไม่ดูแข็งตึง
  • ข้อเสีย: อาจต้องหาคลินิกที่มีรุ่นนี้ในไทยได้ยากกว่ายี่ห้อหลักอื่น ๆ
  • ราคาเฉลี่ยต่อ 1 CC: ประมาณ 16,000 – 22,000 บาท (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย)

5. Princess Filler

เป็นฟิลเลอร์สัญชาติออสเตรียที่ได้รับความนิยมในกลุ่มที่ต้องการฟิลเลอร์คุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้

  • คุณสมบัติเด่น: เนื้อนุ่มปานกลาง ราคาเข้าถึงง่าย ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในร่องที่ไม่ลึกมาก
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่เริ่มต้นฉีดฟิลเลอร์, ร่องน้ำตาที่ไม่ลึกมาก, ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด
  • ข้อดี: เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามากหากต้องการผลลัพธ์ที่ดีในราคาที่เข้าถึงง่าย
  • ข้อเสีย: อาจอยู่ได้ไม่นานเท่าฟิลเลอร์พรีเมียมตัวอื่น (ความคงทนประมาณ 6-10 เดือน)
  • ราคาเฉลี่ยต่อ 1 CC: ประมาณ 8,000 – 12,000 บาท

ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดีและคุ้มราคาที่สุด?

เมื่อพูดถึงความคุ้มค่า ไม่ได้หมายถึงยี่ห้อที่ราคาถูกที่สุด แต่หมายถึงยี่ห้อที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี คงทนยาวนาน และเหมาะสมกับงบประมาณ การเลือกยี่ห้อที่ ‘คุ้มค่า’ จึงควรพิจารณาในภาพรวมดังนี้

  • เน้นผลลัพธ์และความคงทน: Juvederm Volbella และ Belotero Balance มักเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว เนื่องจากมีเนื้อละเอียด เข้ากับผิวได้ดี และมีความคงทนอยู่ในระดับดี ทำให้ไม่ต้องเติมบ่อย
  • เน้นราคาเข้าถึงง่าย: สำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด หรือร่องใต้ตาไม่ลึกมาก การเลือกใช้ Princess Filler หรือ Restylane Vital Light ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่ยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

ฟิลเลอร์ใต้ตาราคาถูก ยี่ห้ออะไรบ้าง?

หากงบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ บางยี่ห้อก็มีราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงมากนัก แต่ยังคงเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน โดยยี่ห้อที่มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มพรีเมียมได้แก่

  • Princess Filler: เป็นฟิลเลอร์สัญชาติออสเตรีย มีชื่อเสียงด้านความคุ้มค่าและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน
  • Restylane Vital Light: แม้จะเป็นฟิลเลอร์คุณภาพสูง แต่เนื่องจากเน้นความชุ่มชื้นและมีอายุสั้นกว่ารุ่นอื่นๆ จึงมักมีราคาต่อ CC ที่เริ่มต้นต่ำกว่า

เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไรให้ ‘ปลอดภัยและสวยที่สุด’

การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตาที่ดีที่สุดนั้น เป็นเรื่องของการปรับให้เข้ากับปัญหาและกายวิภาคของแต่ละบุคคลอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่การเลือกตามกระแส แพทย์ผู้มีประสบการณ์ที่ OHM Clinic จะเน้นหลักการเลือกฟิลเลอร์ 3 ข้อนี้

1. เลือกฟิลเลอร์ตามปัญหาและโครงสร้างใบหน้า

  • ร่องลึกจากกระดูกทรุด (Deep Tear Trough): ควรใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นปานกลางเพื่อช่วยในการยกกระดูก เช่น Restylane Kysse หรือ Juvederm Voluma ในชั้นลึก
  • ผิวใต้ตาบางและมีร่องตื้น ๆ (Fine Lines): ควรใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด อ่อนนุ่ม เช่น Juvederm Volbella หรือ Belotero Balance เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดก้อน และทำให้ผิวดูเนียนเป็นธรรมชาติ

2. ฉีดฟิลเลอร์ตามชั้นใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะต้องมีความเข้าใจกายวิภาคอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นบริเวณที่มีความซับซ้อนและมีเส้นเลือดจำนวนมาก แพทย์จะเลือกชนิดฟิลเลอร์ตามชั้นที่ต้องการเติม

   ชั้นตื้น

ฟิลเลอร์ที่ใช้ในชั้นนี้จะต้องมีความละเอียดสูงมาก ๆ เพื่อให้กลืนไปกับผิวที่บางโดยไม่เห็นรอยนูน (เช่น Belotero Balance, Restylane Vital Light) เน้นการแก้ไขร่องตื้น ๆ หรือผิวที่ไม่เรียบเนียน

   ชั้นลึก

ฟิลเลอร์ที่ใช้ในชั้นนี้มักจะเป็นฟิลเลอร์เนื้อแน่นปานกลาง เพื่อรองรับโครงสร้างกระดูกที่ทรุดตัว (เช่น Juvederm Voluma) เน้นการแก้ไขเบ้าตาลึกหรือร่องน้ำตาที่เกิดจากการยุบตัวของกระดูก

 

3. เลือกปริมาณ CC ที่เหมาะสม

ฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ CC ถึงจะเหมาะสม? ปริมาณของ CC เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามและเป็นธรรมชาติ การใช้ปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ใต้ตาดูบวมหรือเป็นก้อนได้ โดยทั่วไปแล้ว การแก้ไขร่องใต้ตาเพียงเล็กน้อยอาจใช้เพียง 1 CC ต่อทั้งสองข้าง แต่หากเป็นปัญหาเบ้าตาลึก อาจต้องใช้ปริมาณที่มากขึ้นตามการประเมินของแพทย์

 

ทำไมฟิลเลอร์ใต้ตาถึงเป็นก้อน? ยี่ห้อไหนฉีดแล้วไม่เป็นก้อน

ปัญหาใต้ตาเป็นก้อนหลังฉีดนั้นเป็นเรื่องที่กวนใจคนไข้หลายคน และมักไม่ได้เกิดจากยี่ห้อฟิลเลอร์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากหลายสาเหตุที่เกี่ยวพันกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการฉีดของแพทย์

1. การฉีดผิดชั้นผิว (เน้นการฉีดตื้นเกินไป)

ผิวใต้ตาเป็นผิวที่บางมาก หากแพทย์ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นที่ตื้นเกินไปหรือใกล้ผิวหนังมากเกินไป เนื้อฟิลเลอร์จะสามารถมองเห็นเป็นก้อนนูน หรือเป็นสีฟ้า ๆ (Tyndall Effect) ได้อย่างชัดเจน

2. การใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไปในจุดเดียว

การเติมฟิลเลอร์จำนวนมากในพื้นที่เล็ก ๆ ทำให้เกิดการกองรวมกันของเนื้อเจล และกลายเป็นก้อนได้ ดังนั้นการฉีดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและใช้ปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละจุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ

3. การเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งในบริเวณที่มีผิวบาง

หากแพทย์เลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งหรือมีความยืดหยุ่นต่ำในบริเวณใต้ตาที่ผิวบาง จะทำให้เกิดการดันผิวและเห็นเป็นก้อนได้ง่ายกว่า ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเนื้อละเอียดและกลืนไปกับผิวได้ดีอย่าง Belotero Balance จึงได้รับความนิยมในการฉีดบริเวณนี้ เพราะมีโอกาสเกิดก้อนน้อยกว่ามาก

ฟิลเลอร์ใต้ตาของแท้-ของปลอม เช็กอย่างไร?

ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก การเลือกใช้ฟิลเลอร์ใต้ตาของแท้ 100% จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ ที่ OHM Clinic เราใส่ใจเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด โดยมีวิธีการเช็กฟิลเลอร์แท้ดังนี้

ราคาที่เหมาะสมในตลาด

ฟิลเลอร์แท้จากบริษัทผู้นำเข้าจะมีราคามาตรฐานที่ใกล้เคียงกันทั่วประเทศ หากพบว่าคลินิกใดเสนอราคาที่ ‘ถูกจนผิดปกติ’ ควรพิจารณาถึงแหล่งที่มาและความปลอดภัยอย่างยิ่ง

กล่องและซีลที่สมบูรณ์

กล่องบรรจุภัณฑ์จะต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีการเปิด ฉีกขาด และมีสติกเกอร์หรือซีลป้องกันการเปิดที่แน่นหนา

การเช็กเลข Lot. No. กับบริษัทผู้นำเข้าโดยตรง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบหมายเลข Lot. No. ที่อยู่บนกล่อง และบนหลอดฟิลเลอร์ให้ตรงกัน และสามารถโทรศัพท์ไปเช็กกับบริษัทผู้นำเข้าในประเทศไทยได้โดยตรง

อันตรายของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาปลอมและสารแปลกปลอม

หากคุณยังลังเลว่าฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่ ขอให้มั่นใจว่าฟิลเลอร์แท้มีความปลอดภัยสูง แต่สิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งคือการฉีดฟิลเลอร์ปลอม (ซิลิโคนเหลว, พาราฟิน) ซึ่งไม่สลายไปตามธรรมชาติ และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงในระยะยาว เช่น การอักเสบเรื้อรัง การไหลย้อย การเกิดก้อนที่แก้ไขไม่ได้ และที่อันตรายที่สุดคือการอุดตันเส้นเลือดจนทำให้ตาบอดได้

คลิกเพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม

 

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับ OHM Clinic ดีอย่างไร?

ที่ OHM Clinic เราไม่ได้แค่เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่เรามอบประสบการณ์การรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่เป็นเลิศ เพราะเราเชื่อว่าการดูแลหลังฉีดก็สำคัญไม่แพ้กัน

1. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความแม่นยำสูง แพทย์ที่ OHM Clinic มีประสบการณ์และผ่านการฝึกอบรมด้านกายวิภาคของใบหน้ามาโดยเฉพาะ จึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงโครงสร้างเส้นเลือดและชั้นผิวที่ต้องระวัง

2. ใช้ฟิลเลอร์แท้ 100%

เราใช้ฟิลเลอร์ HA แท้ที่ผ่าน อย. ไทย และสามารถตรวจสอบได้ทุกกล่อง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่คงทน

3. เทคนิคการฉีดที่ประณีตและแม่นยำ

แพทย์ใช้เทคนิคการฉีดที่เน้นความนุ่มนวลและแม่นยำสูงสุด เพื่อลดการบอบช้ำ ลดความเสี่ยงของการเกิดก้อน และทำให้ฟิลเลอร์กลืนไปกับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ

4. ออกแบบเฉพาะบุคคล

เราเน้นการวิเคราะห์ปัญหาใต้ตาและโครงสร้างใบหน้าแบบองค์รวม เพื่อเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์และเทคนิคการฉีดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

5. ราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า

นำเสนอราคาที่ยุติธรรมสำหรับฟิลเลอร์แท้คุณภาพสูง เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มค่าสูงสุดทั้งในด้านผลลัพธ์และความปลอดภัย

 

 

รีวิวฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

 

สรุป

การตัดสินใจเลือก ฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่หัวใจสำคัญที่สุดคือการเลือกเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาใต้ตาของคุณที่สุด และต้องมั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ถูกฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หากคุณต้องการคืนความสดใสให้ดวงตาอย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัย เรายินดีให้คำปรึกษาเพื่อออกแบบการรักษาที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ

หากสนใจเข้ารับคำปรึกษาบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ OHM Clinic สามารถติดต่อได้ที่

LINE: LINE

สาขา เกษตรนวมินทร์

CALL: 085-1685656

สาขา 101 True digital Park

CALL: 085-1888855

สาขา Siam Square One

CALL : 083-9829292

 

ข้อมูลโดย

นายแพทย์ ดิษฐพงศ์ สัตตบงกช

รายละเอียด